ข้อมูลพื้นฐานทางด้านการเมืองการปกครอง
การเมืองการปกครองเป็นที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบการอยู่ร่วมกันในสังคมหมู่มากจำเป็นต้องมีระเบียบแบบแผนหรือกติกาต่างๆ
สำหรับสมาชิกในสังคมยึดถือเป็นแนวปฏิบัติต่อกันเพื่อความสงบเรียบร้อยและการอยู่รวมกันอย่างสันติ
ดังนั้น การเมืองการปกครองจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับบทบาท
หน้าที่สิทธิ และความรับผิดชอบที่ทุกคนพึงมีต่อสังคมและประเทศชาติ
การเมืองการปกครองมีความสัมพันธ์กับการศึกษา ในฐานะที่การศึกษามีหน้าที่ผลิตสมาชิกที่ดีให้แก่สังคมให้อยู่ในระบบการปกครองประเทศชาติ
ช่วยให้ผู้เรียนทราบว่าตนมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างไร
และควรแสดงแนวคิดปฏิบัติตนอย่างไรหลักสูตรของประเทศต่างๆ
จึงควรบรรจุเนื้อหาวิชาและประสบการที่จะปลูกฝังให้ประชากรอยู่ร่วมกันในสังคมได้ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสันติสุข
ข้อมูลที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง ที่ควรจะนำมาเป็นเนื้อหาประกอบการพิจารณาในการพัฒนาหลักสูตรก็คือ
ระบบการเมืองและระบบการปกครอง นโยบายของรัฐและรากฐาน
ของประชาธิปไตย
3.1ระบบการเมืองการปกครอง เนื่องจากการศึกษาเป็นเครื่องมืออันหนึ่งของสังคม ดังนั้น การศึกษาระบบการเมืองการปกครองจึงแยกกันไม่ออก หลักสูตรของประเทศต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับประถมศึกษาซึ่งเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานมักจะบรรจุเนื้อหาสาระของระบบการเมืองการปกครองไว้
เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนอยู่ร่วมกันใจสังคมได้ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ในบางประเทศที่ต้องการปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองให้แก่ประชาชน
เพราะฉะนั้นในการพัฒนาหลักสูตรควรเลือกเนื้อหาวิชาประสบการณ์การเรียนรู้
และการจัดให้มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองที่ต้องการปลูกฝัง
3.2 นโยบายของรัฐ เนื่องจากการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคมจึงมีความจำเป็นต้องสอดคล้องกับระบบอื่นๆ
ในสังคมการที่จะทำให้ระบบต่างๆ
สามารถเกื้อหนุนส่งเสริมซึ่งกันและกันจึงจำเป็นต้องมีการประสานสัมพันธ์ระหว่างระบบเหล่านั้น
ด้วยเหตุนี้รัฐบายจึงมีนโยบายแห่งรัฐเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานของระบบต่างๆ
ให้มีความต่อเนื่องและสอดคล้องซึ่งกันและกัน
นโยบายของรัฐที่เห็นได้ชัดเจนคือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
แผนพัฒนาการศึกษา ในการพัฒนาหลักสูตรควรจะได้พิจารณานโยบายของรัฐด้วย
เพื่อที่จะได้จัดการศึกษาให้สอดคล้องกัน
3.3 รากฐานของประชาธิปไตย จากการที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์มาเป็นระบบอบประชาธิปไตยใน
พ.ศ. 2475 นั้น
ควรรู้ความเข้าใจตลอดจนความรู้สึกนึกคิดต่างๆ
เกี่ยวกับประชาธิปไตยในสังคมไทยยังไม่เพียงพอ
หลักสูตรในฐานะที่เป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนาคนควรที่จะวางรากฐานที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยให้แก่สังคม
เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้องซึ่งจะสร้างสรรค์ให้ทุกคนอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข
และไม่มีการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน นอกจากนี้การจัดการเรียนการสอน
จึงควรมุ่งเน้นพฤติกรรมประชาธิปไตยด้วย
สำหรับประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมานานแล้ว แต่ทางปฏิบัติเราต้องยอมรับว่ายังไม่สมบูรณ์
ดังจะเห็นได้จากการราษฎรส่วนใหญ่ยังไม่รู้ถึงสิทธิหน้าที่ของตนต่อรัฐ
ไม่รู้ว่าตนเองมีความสำคัญมีส่วนมีเสียงในการปกครอง ไม่รู้ว่าการเมืองมีส่วนสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของตน
ไม่เห็นความจำเป็นในการเลือกตั้งเป็นต้น การศึกษาควรมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงแก้ไข
การจัดการเรียนการสอนควรเน้นเรื่องความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง
ให้ประชาชนรู้หน้าที่ของตนในระบอบประชาธิปไตย ให้สำนึกว่าการเมืองและการปกครองเป็นเรื่องของทุกคนในสังคม
ทั้งที่ศึกษาอยู่ในระบบและนอกระบบ และ/
หรือจบการศึกษาแล้วได้ศึกษาและนำไปปฏิบัติจริงเพื่อสอดคล้องกับนโยบายที่ว่าการศึกษาและ/
หรือจบการศึกษาแล้วได้ศึกษาคือ กระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิต เมื่อเป็นเช่นการจัดหลักสูตรให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองจึงกระทำได้หลายรูปแบบเพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้
มีจิตสำนึกในความร่วมมือ เข้าใจบทบาทตนเองในด้านการเมืองการปกครองอย่างแท้จริง
เพื่อเป็นการวางรากฐานทางด้านประชาธิปไตย การจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย
ควรจัดตามลำดับดังนี้
1. การจัดการศึกษาให้เท่าเทียมทั่วถึง
2. ให้อำนาจการจัดการศึกษากระจายในท้องถิ่น
3. ให้เสรีภาพและเสถียรภาพแก่บุคคล ให้โอกาสแสดงความคิดเห็น
4. การเรียนการสอนควรส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย
ให้โอกาสผู้เรียนแสวงหาความรู้
5. ส่งเสริมการแก้ไขปัญหาตนเอง
6. จัดหลักสูตรให้ยืดหยุ่นได้ง่าย
7. เน้นวิชามนุษย์สัมพันธ์และจริยธรรมเป็นพิเศษ
นอกจากนั้นการปลูกฝังอบรมสั่งสอนนักเรียน
ก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ประชาธิปไตยของไทยมีความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นด้วยวิธีการดังนี้
1. ชี้ให้เห็นประโยชน์ประชาธิปไตยโดยการให้คำแนะนำและปฏิบัติ
2. สร้างนิสัยให้มีความกระตือรือร้น สนใจเหตุการณ์บ้านเมือง
3. ปลูกฝังการมีวินัยและการเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
4. ฝึกการเคารพกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างเข้มผู้เข้มงวด
5. กระตุ้นและปลูกฝังให้มีความตั้งใจเรียน ซื่อสัตย์
รับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัวและประเทศชาติ
6. ฝึกให้ความสนใจและร่วมกันพิจารณาปัญหาต่าง ของสังคมและหาทางแก้ไข
7. หาโอกาสให้ให้ความร่วมมือประกอบกิจกรรมเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม
8. ช่วยแก้ไขค่านิยมที่ไม่เหมาะสมในสังคมและสร้างค่านิยมที่ดีและเหมาะสม
9. ปลูกฝังทัศนคติที่ว่าการเมืองเป็นเรื่องการให้ความร่วมมือ
การเสียสละ และการช่วยชาติเพื่อบุคคลรุ่นใหม่จะได้เป็นนักการเรียนที่ดี
10. ให้ความรู้และกระตุ้นให้สนใจการเมืองโดยคำนึงถึงหลักการ วิธีการ
สิทธิหน้าที่ในฐานะพลเมืองของประเทศ
11.
ปลูกฝังให้มีความพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองทั้งในระดับโรงเรียน
ท้องถิ่น และประเทศชาติ
12. ปลูกฝังให้ผู้เรียนมีแนวคิดว่าทุกคนควรมีบทบาททางการเมือง
และการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งทางตรงและทางอ้อม
13. เน้นให้เห็นความสำคัญของการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
จากตัวอย่างดังกล่าวพอจะเป็นแนวทางกำหนดเนื้อหา กิจกรรมการจัดการเรียนการสอนและประสบการณ์เรียนรู้ไว้เป็นหลักสูตร
เพื่อให้ผู้เรียนที่จบการศึกษาเป็นผลเมืองที่มีคุณภาพสอดคล้องกับระบบการเมืองการปกครองของประเทศ
ข้อมูลพื้นฐานทางด้านระบบการเมือง
การปกครอง และเศรษฐกิจ
2.1 ระบบการเมืองและการปกครอง : การพัฒนาหลักสูตรจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงข้อมูลทางการเมืองและการปกครองของประเทศด้วย เพื่อจะได้พัฒนาประชากรให้เป็นไปในทิศทางที่สังคมต้องการ เนื่องจากการศึกษาเป็นเครื่องมืออันหนึ่งของสังคม หลักสูตรของประเทศต่างๆมักจะบรรจุเนื้อหาสาระของระบบการเมือง
การปกครอง
เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนในการที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมได้ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ในบางประเทศที่ต้องการปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองให้แก่ประชาชนของตนเองก็มักจะเน้นเนื้อหาหลักสูตรเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองของประเทศตน
2.2 รากฐานของประชาธิปไตย: หลักสูตรในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนมีส่วนช่วยวางรากฐานเกี่ยวกับประชาธิปไตยให้แก่สังคม
เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจอันถูกต้องซึ่งจะสร้างสรรค์ให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
การยอมรับในความแตกต่าง และไม่มีการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน นอกจากนี้การจัดการเรียนการสอนก็ควรจะได้มุ่งเน้นพฤติกรรมประชาธิปไตย
ความรักใคร่สามัคคีปรองดอง
2.3 พื้นฐานทางเศรษฐกิจและระบบเศรษฐกิจ: การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจ
เพราะการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคนซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในทุกระบบเศรษฐกิจ
เพราะระบบเศรษฐกิจจะเจริญก้าวหน้าได้เพียงใดขึ้นอยู่กับคุณภาพของคนในสังคมนั้น
ดังนั้นในการพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมนั้นกับพื้นบานทางด้านเศรษฐกิจ จึงพิจารณา
ในด้าน 1) การเตรียมกำลังคน
จัดให้การศึกษาอย่างเพียงพอ พอเหมาะและสอดคล้องความต้องการในแต่ละสาขาวิชาชีพ
เพื่อลดปัญหาการว่างงานอันเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศอีกทั้งสนับสนุนการจัดการศึกษาที่ส่งเสริมให้มีผู้เชี่ยวชาญในระดับต่างๆ
รวมถึงพิจารณาถึงแนวโน้มความต้องการทางเศรษฐกิจของประเทศชาติในอนาคต 2) การพัฒนาอาชีพ การประกอบอาชีพของคนไทยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการเกษตรกรรมและการประกอบอาชีพอุตสาหกรรม
และปัจจุบันมีการอพยพย้ายถิ่นเข้ามาทำงานอุตสาหกรรมในเมืองใหญ่
ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาด้านอื่นๆตามมา เช่น สิ่งแวดล้อม เกิดชุมชนแออัด ปัญหาครอบครัว
ดังนั้นหลักสูตรที่ใช้สำหรับสังคมไทยควรเน้นการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้น
จัดหลักสูตรเพื่อพัฒนาอาชีพตามศักยภาพและท้องถิ่น
เพื่อลดปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน 3) การขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรม
ประเทศไทยกำลังพัฒนาจากการเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมมากขึ้น ดังนั้นการจัดหลักสูตร เช่น
หลักสูตรวิชาชีพ จึงต้องเน้นด้านพัฒนาทักษะฝีมือแรงงงานเพื่อให้เป็นที่ต้องการของตลาดและมีประสิทธิภาพในเวทีการแข่งด้านการค้าและเศรษฐกิจ 4) การใช้ทรัพยากร
เศรษฐกิจเป็นเรื่องของการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เพื่อตอบสนองความต้องการที่ไม่จำกัดของมนุษย์ ดังนั้นในการจัดหลักสูตร หรือจัดทำหลักสูตรเนื้อหาวิชา
กิจกรรมและการจัดประสบการณ์ในหลักสูตรควรปลูกฝังเกี่ยวกับความสำคัญของทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด 5) การพัฒนาคุณลักษณะของบุคคลในระบบเศรษฐกิจของไทย เช่น
ความขัดแย้งกับความเป็นจริงในระบบเศรษฐกิจ เช่น มีรายได้ต่ำแต่ต้องการจับจ่ายในระบบเศรษฐกิจสูงตามความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ
ทำให้เกิดปัญหาด้านหนี้สิน
และในระบบเศรษฐกิจแบบเปิดทำให้สินค้าฟุ่มเฟือยหลั่งไหลเข้ามาสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้กับเด็กและเยาวชน
หรือการเอารัดเอาเปรียบต่อผู้ด้อยการศึกษา ดังนั้นการจัดหลักสูตรจะต้องบรรจุเนื้อหาในการสร้างค่านิยมในการทำงานร่วมกัน
การไม่เอารัดเอาเปรียบ ความขยันหมั่นเพียร การรู้จักอดออม การมีสติรู้คิด และ 6) การลงทุนทางการศึกษา
การจัดการศึกษาทุกระดับต้องใช้งบประมาณของรัฐโดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐาน
แหล่งเงินที่จะช่วยเหลือรัฐในรูปของงบประมาณ การจัดการศึกษาจึงต้องคำนึงถึงงบประมาณเพื่อการศึกษาจัดให้สอดคล้อง
ไม่ว่าด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านวัสดุอุปกรณ์ เพื่อการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น การพัฒนาหลักสูตรให้เยาวชนมีความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์
หรือภาษาต่างประเทศ การบริหารจัดการด้านงบประมาณจึงต้องพิจารณา ความพร้อมของโรงเรียน เพื่อลดการลงทุนที่สูญเปล่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น